วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ศาสนพิธีทางพระพุทธศาสนา

ศาสนพิธี


ศาสนพิธีต่าง ๆ ช่วยทำให้ความศรัทธาต่อพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เป็นสิ่งตอกย้ำใจให้ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยได้อย่างดีเยี่ยมจึงเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามที่ควรรักษาไว้คู่กับพระพุทธศาสนาตลอดไป  ในพระพุทธศาสนาแบ่งศาสนาพิธีออกเป็น  ๔  หมวดใหญ่ ๆ ดังนี้
              ๑.  กุศลพิธี  เป็นพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับการอบรมความดีงามทางพระพุทธศาสนา  เช่น  การรักษาศีล เป็นต้น
              ๒.  บุญพิธี เป็นพิธีทำบุญเนื่องด้วยประเพณีการดำเนินชีวิตของคนทั่วไป มีบุญมงคลและอวมงคล  เช่น บุญขึ้นบ้านใหม่ บุญหน้าศพ  เป็นต้น
              ๓.  ทานพิธี   เป็นพิธีถวายทานต่างๆ  เช่น ถวายสังฆทาน เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค  เป็นต้น
              ๔.  ปกิณกะพิธี  เป็นพิธีเบ็ดเตล็ด ได้แก่การอาราธนาศีล การประเคนของพระ เป็นต้น

ในที่นี้จะนำมาเฉพาะพิธีที่สำคัญ  ๆ อันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของชาวพุทธเสมอ ๆ ดังต่อไปนี้

          1. การตักบาตร   คือการนำข้าวและอาหารคาวหวานใส่บาตรพระหรือสามเณร  โดยอาจทำประจำวันในท้องถิ่นชุมชนที่มีพระสงฆ์และสามเณรออกบิณฑบาต จะทำในวันเกิดของตนหรือวันสำคัญทางศาสนา รวมทั้งวัน ๘ ค่ำ และ ๑๔,๑๕ ค่ำ เป็นต้น
          เบื้องต้นของการตักบาตร ต้องเตรียมใจให้ผ่องใสเป็นกุศล เปี่ยมด้วยความเต็มใจบุญจะได้บังเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มคิด ขณะทำก็อย่านึกเสียดาย ให้มีสุขใจ หลังจากให้ไปแล้วก็มีความปลื้มปีติยินดีในทานนั้น อย่านึกเสียดายเป็นอันขาด บุญกุศลจึงจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในการเตรียมของตักบาตร เช่นข้าวสารอาหารแห้งหรืออาหารคาว ถ้าของสดพึงระวังอย่าให้ข้าวและอาหารนั้น ๆ ร้อนหรือเย็นจนเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดความลำบากแก่พระสงฆ์หรือสามเณร ที่ต้องอุ้มบาตรต่อไปในระยะทางไกล ของที่ใส่บาตรนั้นนิยมปฏิบัติเป็นธรรมเนียมว่า ให้ยกขึ้นจบ (ยกขึ้นสูงระดับหน้าผาก ด้วยท่าประนมมือโดยอนุโลม) แล้วนิมนต์พระภิกษุหรือสามเณรว่า นิมนต์ครับ/นิมนต์ค่ะ  เมื่อท่านเดินผ่านมาในระยะใกล้ แล้วใส่ของลงไปในบาตร กล่าวคำถวายทานว่า
สุทินนัง  วะตะ  เม  ทานัง  อาสะวักขะยาวะหัง  โหตุฯ
          แปลว่า ทานที่ข้าพเจ้าให้แล้วด้วยดี ขอจิตของข้าพเจ้านี้จงสิ้นอาสวะกิเลสเถิด     
          เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วนิยมทำการกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญแก่ผู้อื่นอันเป็นที่รักด้วย ช่วยทำให้เกิดความอิ่มเอิบใจ เป็นสุขให้แก่ผู้ปฏิบัติ       



           2. พิธีถวายสังฆทาน  คือการถวายวัตถุที่ควรเป็นทานแก่สงฆ์ มิได้เจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง  หากถวายเจาะจงเฉพาะรูป  เรียกว่า "ปาฏิบุคลิกทาน"  ไม่ต้องมีพิธีกรรมอะไรในการถวาย ส่วนสังฆทานนั้นเป็นการถวายกลาง ๆ ให้สงฆ์เฉลี่ยกันใช้สอย จึงมีพิธีกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะการถวายและการอนุโมทนาของสงฆ์
           สังฆทานมีแบบแผนมาแต่ครั้งพุทธกาล ผู้รับจะเป็นภิกษุหรือสามเณร หรือ พระสังฆเถระหรือพระอันดับชนิดไร ๆ เมื่อสงฆ์จัดไปให้ ผู้ถวายต้องตั้งใจต่อพระอริยสงฆ์  คือ อุทิศถวายเป็นสงฆ์จริง ๆผู้รับรับในนามของสงฆ์เป็นส่วนรวม จึงเป็นการถวายสังฆทานด้วยใจที่เป็นกุศล  อิ่มเอิบเบิกบานในการถวายทานวัตถุที่ถวายจะมากน้อยอย่างไรตามแต่สมควร  ประกอบด้วยภัตตาหารและบริวารของใช้ที่เหมาะแก่สมณะบริโภค ถวายกี่รูปก็ได้แล้วแต่ศรัทธา  จะถวายที่วัดหรือสถานที่อื่น ๆ เช่น ที่บ้านหรือสถานที่ประกอบพิธีก็ได้
          การถวายสังฆทานนั้น เริ่มด้วยการจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย (ถ้ามี)  แล้วอาราธนาศีล และสมาทานศีลจากนั้นผู้ถวายทานประนมมือ ตั้งนะโม ๓ จบแล้วกล่าวคำถวายสังฆทาน เสร็จแล้วประเคนทานวัตถุแด่พระภิกษุสงฆ์
           หลังจากประเคนถวายพระสงฆ์แล้ว เมื่อพระสงฆ์ผู้นำสวดอนุโมทนาด้วยบท “ยะถา วาริวหา....” ผู้ถวายทานเริ่มกรวดน้ำ จนถึงบทที่พระสงฆ์ผู้นำสวดถึง “.....มณิโชติ รโส ยะถา”  ก็ให้หยุดกรวดน้ำ แล้วประนมมือรับพรพระต่อไปจนจบ





         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น